

360TRUCK คือแอปจองรถบรรทุกขนส่งสินค้า ที่รองรับการขนส่งสินค้าทุกประเภท มีรถบรรทุกในระบบมากถึง 60,000 คัน ตั้งแต่ 4 ล้อ 6 ล้อ 10 ล้อ รถเทรลเลอร์ รถลากตู้คอนเทนเนอร์ รถพ่วง วันนี้เราจะพาทุกท่านมาดูรายละเอียดของแต่ล่ะประเภทรถบรรทุกว่าเหมาะกับธุรกิจของคุณหรือไม่


รถ 4 ล้อ รถ 4 ล้อหรือรถกระบะถือเป็นประเภทรถ “ยอดฮิต” ที่ธุรกิจ “SME” เลือกใช้สำหรับการส่งสินค้าให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีขนาด order การสั่งซื้อขนาดเล็กแต่สั่งบ่อยครั้ง เนื่องจากรถ 4 ล้อมีขนาดรถที่ไม่ใหญ่มาก จึงทำให้มีความคล่องตัวสูงกว่ารถบรรทุกประเภทอื่นในการเดินทาง สามารถเข้าในเขตเมืองได้ไม่ติดเวลา (Truck ban) และส่งสินค้าตามร้านค้าต่างๆที่มีพื้นที่จำกัดได้ โดยบรรทุกได้ครั้งละประมาณ 1-3 ตัน
ประเภทรถที่นิยมใช้
- 4 ล้อคอกคลุมผ้าใบ : ส่วนใหญ่จะนิยมใช้สำหรับการขนสินค้าประเภทพืช ผักผลไม้ และสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป ที่ต้องการปริมาตรบรรทุกที่เยอะกว่า รถ 4 ล้อตู้
- 4 ล้อตู้ทึบ : นิยมใช้สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ ต้องการความปลอดภัย สินค้ามีโอกาสสูญหายได้ง่าย อาจต้องมีการเปิดตู้เพื่อไปลงหลายจุด เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์, สินค้าอุปโภคบริโภค, สินค้าที่ไม่ชอบความชื้น


รถ 6 ล้อ เจ้าของสินค้า (Shipper) มีโรงงานขนาดเล็กถึงขนาดกลาง หรือเป็นศูนย์การกระจายสินค้าที่ต้องการส่งสินค้าไปยังสาขาต่างๆ หรือต้องการขนย้ายของหรือย้ายบ้านและขนส่งสินค้าที่นิยมใช้ 6 ล้อขนส่งจะมีสินค้าเกี่ยวกับการ อุปโภคบริโภค และวัสดุก่อสร้าง เนื่องจาก 6 ล้อปัจจุบันมีขนาดที่ใกล้เคียงกับรถ 10 ล้อ มีต้นทุนค่าขนส่งต่อเที่ยวที่ต่ำกว่า ดังนั้น รถหกล้อจึงเหมาะกับสินค้าประเภทดังที่กล่าวมาข้างต้น คือมีปริมาตรมาก แต่น้ำหนักไม่มาก
ประเภทรถที่นิยมใช้
- พื้นเรียบ: นิยมใช้ขนส่งสินค้าวัสดุก่อสร้าง โดยน้ำหนักสินค้าที่สามารถบรรทุกได้คือ 6 ตัน
- คอก: ใช้ขนสินค้าเกษตร โดยน้ำหนักสินค้าที่สามารถบรรทุกได้คือ 8 ตัน
- ตู้ทึบ: ขนส่งสินค้าที่ไม่สามารถเปียกน้ำได้ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ โดยน้ำหนักสินค้าที่สามารถบรรทุกได้คือ 6 ตัน


รถ 10 ล้อ ประเภทรถที่ได้ชื่อว่า “ขวัญใจ” สินค้าเกษตร ก่อสร้าง ขนดิน ขนแร่ต่างๆ โดยเฉพาะรถ 10 ล้อดัมพ์ จะได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในกลุ่มสินค้าที่ต้องเทกอง (BULK) และกลุ่มสินค้าที่เป็นอุตสาหกรรมหนักหรือสินค้าที่มีน้ำหนักมาก 10 ล้อ เหมาะสำหรับการขนย้ายสินค้าหรือขนส่งสินค้าที่มีปริมาณเยอะๆและมีน้ำหนักมากๆ เพราะเป็นรถขนาดใหญ่ที่สามารถรับน้ำหนักสิ่งของได้เยอะ เช่น วัสดุก่อสร้าง สินค้าจากโรงงาน หรืออุปกรณ์สำนักงานที่มีขนาดใหญ่ และเครื่องจักรกลต่างๆ
ประเภทรถที่นิยมใช้
- พื้นเรียบ : น้ำหนักสินค้าที่สามารถบรรทุกได้คือ 15 ตัน
- คอกดัมพ์/ไม่ดัมพ์ : น้ำหนักสินค้าที่สามารถบรรทุกได้คือ 15 ตัน
- ตู้ทึบ : น้ำหนักสินค้าที่สามารถบรรทุกได้คือ 14.5 ตัน


รถพ่วง ประเภทรถพ่วงนั้นเหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าครั้งละมากๆ และตัวอย่างสินค้าที่ใช้รถประเภทนี้ คือ อุปกรณ์ก่อสร้าง เครื่องจักรกลขนาดใหญ่ และสินค้าที่นิยมในการใช้คืออุตสาหกรรมเกษตร อย่างพวก น้ำตาล ยางพารา อาหารสัตว์ ฯลฯ โดยเฉพาะสินค้าเทกองจะเป็นที่นิยมอย่างมาก
ประเภทรถที่นิยมใช้
รถพ่วงพื้นเรียบ, รถพ่วงตู้, รถพ่วงคอกดัมพ์, รถพ่วงคอก = โดยน้ำหนักสินค้าที่สามารถบรรทุกได้คือ 30 ตัน


รถกึ่งพ่วง หรือ Semi-Trailer เป็นประเภทรถที่ใครหลายคนอาจจะรู้จักกันในนามของ “รถเทรลเลอร์” และสาเหตุที่หลายคนเรียกแบบนั้นเกิดจากการที่รถประเภทนี้มีหัวเป็นตัวขับเคลื่อนและมีหาง (Trailer) ที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ รถประเภทนี้จะเหมาะสมกับสินค้าพวก JUMBO Pallet สำหรับรถประเภทนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องความชื้นเนื่องจากรถประเภทนี้มีผ้าใบคลุม
ประเภทรถที่นิยมใช้
รถเทรลเลอร์พื้นเรียบ, รถเทรลเลอร์คอกดัมพ์ = โดยน้ำหนักสินค้าที่สามารถบรรทุกได้คือ 30 ตัน


รถลากตู้คอนเทนเนอร์ รถลากตู้หรือที่หลายคนเรียกกันจนติดปากว่า “รถหัวลาก” รถลากตู้ประเภทนี้จะนิยมใช้ในกลุ่ม การนำเข้า – ส่งออกสินค้าจากต่างประเทศ ที่อยู่ตามท่าเรือขนส่งต่างๆ และเนื่องจากสามารถขนย้ายสินค้าได้จำนวนมาก
ประเภทรถที่นิยมใช้
- Dry 20 ฟุต = โดยน้ำหนักสินค้าที่สามารถบรรทุกได้คือ 28 ตัน
- Dry 40 ฟุต = โดยน้ำหนักสินค้าที่สามารถบรรทุกได้คือ 28.5 ตัน
- Reefer 20 ฟุต = โดยน้ำหนักสินค้าที่สามารถบรรทุกได้คือ 27.5 ตัน
- Reefer 40 ฟุต = โดยน้ำหนักสินค้าที่สามารถบรรทุกได้คือ 29 ตัน
จากประเภทรถทั้ง 6 ประเภทที่ได้กล่าวถึงไปข้างต้นนั้น หากธุรกิจของคุณมีความต้องการใช้งาน แต่ยังไม่รู้จะหารถขนส่งที่น่าเชื่อถือ มีคุณภาพ และยังสามารถช่วยประหยัดต้นทุนการขนส่งของคุณได้จากที่ไหน คุณสามารถให้ 360TRUCK ช่วยคุณได้ เพราะ 360TRUCK มีรถบรรทุกทางรถยนต์หลากหลายประเภทพร้อมให้บริการและมีประกันสินค้าทุกเที่ยวรถ!!
เลือกรถบรรทุกประเภทไหนให้เหมากับธุรกิจ
การขนส่งสินค้า เป็นสิ่งที่ธุรกิจส่วนใหญ่ต้องใช้บริการ และเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพราะเปรียบเสมือนตัวกลางในการนำสินค้าจากโรงงานหรือไร่นา ไปสู่ผู้บริโภคที่อยู่ห่างไกลออกไป สำหรับบางธุรกิจนั้นผู้บริโภคจะอยู่ไกลออกไปและกระจายกันอยู่ทั่วทุกมุมโลก
ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการขนส่งเป็นอย่างมาก เพราะหากเลือกใช้การขนส่งด้วยรถบรรทุกที่ผิดประเภทก็อาจจะทำให้เกิดการเสียหายของสินค้าได้ หรือสินค้ามีคุณภาพต่ำลงเพราะการขนส่งสินค้าที่ไม่ได้มีการควบคุมคุณภาพและไม่ได้มาตรฐาน การขนส่งรถบรรทุก ส่วนใหญ่จะเป็นการขนส่งภายในประเทศ และประเทศใกล้เคียง เนื่องจากสะดวกและหากคำนวณตามน้ำหนักและขนาดแล้วเป็นวิธีที่ประหยัดค่าใช่จ่ายที่สุด
หลักการเลือกใช้บริการขนส่งรถบรรทุก
ประเทศไทยนิยมใช้บริการขนส่งสินค้าในธุรกิจที่หลากหลาย เช่น การเกษตร ธุรกิจเหมืองแร่ โรงงานอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมเครื่องจักร ธุรกิจก่อสร้าง ฯลฯ ซึ่งบางธุรกิจนั้นก็สามารถเลือกรถได้หลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับจำนวนของสินค้าที่จะขนส่งในแต่ละวัน
พื้นที่ที่จะนำสินค้าไปส่งนั้นก็มีส่วนในการเลือกใช้รถบรรทุกเช่นกัน เพราะถ้าเป็นการขนส่งสินค้าที่อยู่ในพื้นที่แออัดหรือในเมือง การใช้รถที่มีขนาดใหญ่ในการขนส่งสินค้าอาจทำให้เกิดปัญหาการขนส่งล่าช้าได้ เนื่องจากในเมืองมีการจราจรที่หนาแน่น และพื้นที่จำกัด รถใหญ่ต้องการพื้นที่เยอะ ควรเปลี่ยนขนาดของการขนส่งสินค้าเป็นรถสี่ล้อเพื่อให้เกิดความคล่องตัวกว่า สามารถเข้าไปในพื้นที่แออัดได้
สินค้าบางชนิดมีความเบาะบางมาก เช่นผัก ดอกไม้และผลไม้ จึงจำเป็นต้องเลือกรถที่สามารถรักษาสินค้าให้ไปถึงมือผู้บริโภคได้ ไม่เกิดการเสียหาย และทำการขนส่งได้รวดเร็ว เพราะสินค้าจำพวกนี้สามารถเน่าเสียได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ผลผลิตบางชนิดต้องส่งออกไปต่างประเทศ การเลือกใช้บริการขนส่งรถบรรทุกนั้นต้องคำนึงถึงการรักษาอุณหภูมิจากไร่นาไปยังจุดขนส่งสินค้าออกต่างประเทศอีกด้วย


ประเภทของธุรกิจกับการใช้บริการขนส่งสินค้าทางบก
การจำแนกประเภทของธุรกิจนั้นเราสามารถจำแนกได้อย่างหลากหลาย เช่น แบ่งตามข้อกฎหมายกำหนด ได้แก่ ธุรกิจที่เป็นนิติบุคคล และธุรกิจไม่เป็นนิติบุคคล หรือสามารถแบ่งได้ตามกิจกรรมที่ธุรกิจกระทำ ได้แก่ ธุรกิจการเกษตร ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจอุตสาหกรรม เพื่อให้ง่ายต่อการเลือกใช้บริการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกที่ต้องคำนึงจากลักษณะของสินค้า ขนาด และน้ำหนักจึงขอแบ่งประเภทธุรกิจออกตามกิจกรรมที่ธุรกิจทำ ดังนี้


ธุรกิจการเกษตร
ธุรกิจการเกษตรการเลือกรถขนส่งสินค้านั้นต้องคำนึงจากจำนวน หรือปริมาณของผลผลิตที่เก็บได้ในแต่ละวัน สินค้าจำพวกพืชผักผลไม้ หากมีปริมาณที่น้อย ขนส่งไม่เกิน 1-3 ตัน ก็สามารถใช้รถสี่ล้อคอกคลุมผ้าใบได้ หากสินค้ามีปริมาณที่มากขึ้น สามารถขยายเป็นรถหกล้อคอก หรือรถสิบล้อได้ แต่รถชนิดนี้จะมีความคล่องตัวน้อยกว่ารถสี่ล้อ


ธุรกิจประมง
การทำการประมงนั้นต้องขนย้ายสัตว์ทั้งแบบมีชีวิตและ ที่ไม่มีชีวิต จากท่าเรือไปสู่ตลาดโดยตรงหรือไปสู่โรงงานที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร การขนส่งนั้นจะต้องรักษาอุณหภูมิ และปลอดเชื้อ มีการักษาความสะอาดทีดี ควรเลือกรถที่มีตู้แช้เย็นที่มีการควบคุมอุณหภูมิอยู่ในตัวรถ เพื่อเก็บรถษาความสดใหม่ หรือหากจะขนส่งสัตว์น้ำที่ยังมีชีวิต ผู้ขนส่งอาจจะต้องมีภาชนะใส่น้ำการขนย้ายมีการดูและรักษาคุณภาพน้ำ เพื่อให้สินค้าไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย ซึ่งขนาดของรถบรรทุก ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนที่ต้องการขนย้ายในแต่ละวัน


ธุรกิจก่อสร้าง
ในธุรกิจก่อสร้างนั้นต้องมีการขนย้าย อุปกรณ์ต่างๆจากโรงงานไปยังสถานที่ที่ใช้ก่อสร้างซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้นั้นมีหลากหลายขนาด เช่น ทราย หิน และดิน สินค้าจำพวกนี้สามารถเทกองกับพื้นได้ ควรใช้รถสิบล้อในการขนส่ง หรือเป็นวัสดุอุปกรณที่มีขนาดใหญ่มากควรใช้รถพ่วงในการขนย้าย


ธุรกิจนำเข้า-ส่งออก
การนำเข้าส่งออกสินค้าทางเรือ สามารถขนส่งสินค้าได้จำนวนมากในครั้งเดียว การที่นำสินค้าไปส่งที่จุดท่าเรือส่งออกหรือรับสินค้าจากจุดท่าเรือที่นำเข้านั้น ส่วนใหญ่จะนิยมใช้รถหัวลากที่มีตู้คอนเทนเนอร์อยู่ด้านหลัง เพราะสามารถบรรจุสินค้าได้จำนวนมาก และรับน้ำหนักได้มากถึง 28 ตัน


ธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักร
ธุรกิจในปัจจุบันต่างดำเนินกิจการด้วยเครื่องจักกลแทนที่แรงงาน เพราะสามารถผลิตหรือให้บริการแบบคงที่ ได้มาตรฐาน และมีความรวดเร็วกว่าการใช้กำลัง ซึ่งในการใช้เครื่องจักรมาแทนที่แรงงานคน เป็นที่นิยมในทุกๆธุรกิจ ซึ่งขนาดของเครื่องจักรนั้นก็แตกต่างกันออกไปตามการใช้งานของธุรกิจนั้นๆ การขนย้ายเครื่องจักรต่างๆควรคำนึงถึงขนาดและของเครื่องจักรเป็นอันดับและหากมีขนาดไม่เกิน 8ตัน สามารถขนส่งสินค้าทางรถบรรทุก4ล้อได้ หรือ หากมีขนาดใหญ่ขึ้นก็สามารถเลือกใช้บริการรถที่มีขนาดใหญ่กว่าได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องมีตู้ทับหรือผ้าใบในการคลุมเพื่อป้องการความเสียหายของเครื่องจักร ซึ่งหลักสำคัญในการเลือกใช้บริการขนส่งรถบรรทุกของทุกธุรกิจนั้น ควรคำนึงถึงขนาด น้ำหนัก พื้นที่ที่จำทำการส่งหรือรับสินค้า และการเก็บรักษาสินค้าก่อน เป็นอันดับแรก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการขนส่ง รวมไปถึงสินค้ามีความปวดภัย และรักษาคุณภาพของสินค้าอีกด้วย
เริ่มขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุก ต้องเตรียมตัวอย่างไร ?
การขนส่งทางบกนั้น เป็นตัวกลางระหว่าง โรงงานผลิต กับ ผู้บริโภค เนื่องจากเป็นตัวที่ทำให้สินค้าจากโรงงานนั้น ส่งตรงถึงมือผู้บริโภคได้ โดยแต่ละรูปแบบของธุรกิจสามารถเลือกใช้บริการขนส่งสินค้าที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าของธุรกิจนั้นๆ วิธีการเริ่มต้นขนส่งด้วยรถบรรทุกนั้น สามารถเรียกใช้บริการ ได้ง่ายและมีรถให้เลือกอย่างหลากหลาย เพื่อตอบสนองต่อธุรกิจทุกขนาด และครอบคลุมทุกพื้นที่ให้บริการ โดยสามารถเริ่มต้นได้ดังนี้
ตรวจสอบสินค้าก่อนเรียกใช้บริการ
ก่อนการเรียกใช้บริการขนส่งสินค้านั้นเราต้องดูสินค้าที่ต้องการขนส่งก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียตามมาในขณะทำการขนส่ง รักษาชื่อเสียงของบริษัท รักษาคุณภาพของสินค้า และลดต้นทุนในการขนส่ง โดยผู้ประกอบการต้องตรวจสอบสินค้าตามหัวข้อดังนี้
ชนิดของสินค้าที่ต้องการขนส่ง
การขนส่งสินค้าแต่ละประเภทมีการดูแลรักษาที่แตกต่างกันไป ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึงการดูแลสินค้าระหว่างการขนส่งด้วย หากไม่มีการตรวจเช็คเรื่องนี้แล้ว อาจทำให้เกิดความเสียหายขณะขนส่งสินค้า ผู้บริโภคหรือผู้รับสินค้าได้รับสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ เกิดการชำรุดเสียหาย ส่งผลเสียต่อธุรกิจทั้งด้านชื่อเสียง และเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้ามาเปลี่ยนใหม่ บริการขนส่งสินค้านั้นมีรถที่ให้บริการหลายรูปแบบเช่น รถคอก รถตู้ทึบ รถบรรทุกแบบเทกอง รถบรรทุกห้องแอร์ และรถพ่วง เป็นต้น การที่รถบรรทุกสินค้ามีรูปแบบที่หลากหลาย เพราะสินค้าแต่ละชนิดมีการขนส่งที่แตกต่างกัน เช่น
- อาหารสัตว์ และน้ำตาล ควรใช้ บริการรถพ่วง เพราะสามารถขนส่งได้เป็นจำนวนมาก
- อาหารสด ควรเลือกใช้ บริการรถที่มีการควบคุมอุณหภูมิ เพื่อรักษาความสดใหม่ให้กับสินค้า
- สื่อสิ่งพิมพ์ ควรใช้ บริการขนส่งที่มีผ้าใบคลุมหรือตู้ทึบ เพื่อป้องกันภาพอากาศภายนอกที่ทำให้เสียหายได้
หากธุรกิจของคุณมีการใส่ใจในการเลือกการขนส่งสินค้าให้เหมาะกับสินค้าของคุณแล้ว จะส่งผลดีต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก และช่วยลดปัญหาในการขนส่งอีกด้วย
คำนวนน้ำหนักและปริมาตรของสินค้า
รถบรรทุกสินค้าในปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายขนาด เริ่มตั้งแต่ รถบรรทุกสี่ล้อ ไปจนถึง รถเทรลเลอร์ ซึ่งสามารถบรรทุกสินค้าได้ตั้งแต่ 1 ตันไปจนถึง 29 ตัน ผู้ประกอบการควรตรวจสอบสินค้า ว่ามีน้ำหนักเท่าไร เพื่อให้สามารถเลือกใช้รถ ได้ตรงกับขนาดของสินค้าที่สุด เช่น
- ธุรกิจการเกษตร สินค้าคือผลไม้ มีน้ำหนัก 2 ตัน สามารถเลือกใช้ รถบรรทุกสี่ล้อแบบมีคอก ได้ ซึ่งรถชนิดนี้สามารถรับน้ำหนักได้ 1 – 3 ตัน
- ธุรกิจส่งออก สินค้าบรรจุใส่ตู้คอนเทนเนอร์ ต้องการนำไปส่งต่างประเทศโดยการขนส่งทางเรือ ต้องใช้ รถขนาดใหญ่ที่สามารถลากตู้คอนเทนเนอร์ จากโรงงานไปขนส่งที่ท่าเรือได้ และสามารถบรรทุกสินค้าได้มากถึง 29 ตัน
- ธุรกิจก่อสร้าง ต้องการขนทรายไปยังพื้นที่ สามารถเลือกใช้บริการ รถสิบล้อ ได้ เนื่องจากสามารถบรรจุได้มากถึง 15 ตัน และสามารถเทกองทรายลงพื้นได้ ช่วยประหยัดเวลาในการขนย้ายลงจากรถอีกด้วย
การที่ใช้ รถที่ขนาดใหญ่กว่าสินค้าที่ขนส่ง จะทำให้ส่งผลเสียต่อธุรกิจของคุณ โดยการเพิ่มต้นทุนในการขนส่งสินค้า ส่งผลให้ธุรกิจมีกำไรน้อยลง เจ้าของกิจการ จึงควรให้ความสำคัญกับ การคำนวนน้ำหนักของสินค้า ก่อนเลือกใช้ บริการรถบรรทุก เพื่อช่วยลดต้นทุนการขนส่ง
พื้นที่ในการส่งสินค้า
จุดหมายปลายทางในการขนส่งสินค้า เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องนึกถึงก่อนการเรียกใช้ บริการรถขนส่งสินค้า เนื่องจากรถแต่ละขนาดจำเป็นต้องใช้พื้นที่ ที่แตกต่างกัน เช่น
- การรับ-ส่งสินค้าในเขตพื้นที่ที่มีขนาดเล็ก หรือเขตเมือง ควรใช้ รถบรรทุกสี่ล้อ เนื่องจากปัญหาการจราจร ส่งผลให้รถเล็กมีความคล่องตัวมากกว่า สินค้าจึงไปถึงที่หมายได้ตรงตามเวลา และรวดเร็ว
หากผู้ประกอบการ ไม่คำนึงถึงพื้นที่ในการรับ-ส่ง สินค้า จะทำให้การส่งสินค้าไปถึงมือผู้รับอาจเกิดความล่าช้าได้ ก่อให้เกิดผลเสียต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก
ศึกษามาตรฐานของบริษัทให้บริการขนส่งสินค้า
การเลือกบริษัทที่ให้ บริการขนส่งสินค้า ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญใน การขนส่งสินค้า ซึ่ง หลักสำคัญ ที่ บริษัทขนส่งสินค้า ต้องมีคือ
- การรับประกันสินค้าที่ขนส่ง
- การจัดทำเอกสารในการขนส่งอย่างเป็นระบบ
- ความสามารถในการตรวจสอบการขนส่งย้อนหลัง
- การติดตามการขนส่งได้สะดวกและรวดเร็ว
- ทีมงานคอยตอบคำถามและให้บริการอย่างรวดเร็ว